CEO TALK #17 มั่งคั่งอย่าง BEAUTY สวยสะพรั่งหมื่นล้าน
การเข้าอบรม CEO TALK
6. CEO TALK #17
หัวข้อ มั่งคั่งอย่าง BEAUTY สวยสะพรั่งหมื่นล้าน
โดย นายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน)
จุดเริ่มต้นของ
บิวตี้ บุฟเฟต์ เกิดขึ้นในปี 2541 เป็นปีที่เกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจ
(ช่วงที่ค่าเงินบาทลอยตัว) คนส่วนใหญ่ไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย
และมองว่าไม่ควรนำเงินมาลงทุน จึงเลือกที่จะออมเงินไว้ แต่ Dr. Suwin (เจ้าของแบรนด์)
กับมองว่ามันเป็นช่องทางที่สามารถทำเงินให้กับเขาได้ด้วยความที่ว่าไม่ว่าเศรษฐกิจจะแย่แค่ไหน ผู้หญิงอย่างเราก็ยังที่จะอยากสวยอยู่ดี แต่เพื่อความไม่ประมาท
ศึกษาลู่ทางจนมั่นใจว่ามีโอกาส รีบฉวยไว้ทันที นายแพทย์สุวิน
ลงไปสังเกตการณ์ธุรกิจเครื่องสำอางด้วยตนเองอยู่นานหลายเดือน จนกระทั่งเขาพบว่า
ระหว่างเครื่องสำอางเคาน์เตอร์ หรือเครื่องสำอางแบรนด์เนม
กับเครื่องสำอางตู้ที่เปิดขายทั่วไป มีช่องว่างคือ เครื่องสำอางแบรนด์เนม ลูกค้าต้องมีกำลังซื้อสูง
ซึ่งช่วงนั้นกำลังซื้อลดต่ำลง ขณะเดียวกัน ถ้าเป็นเครื่องสำอางตู้ แม้ไม่แพง
แต่ข้อเสียคือ วางมิดชิด ลูกค้าไม่สามารถหยิบทดลองใช้
อีกทั้งไม่มีป้ายบอกราคาที่ชัดเจน ประกอบกับนิสัยคนไทยมักขี้เกรงใจ
หากลองแล้วต้องซื้อ ซึ่งเท่ากับว่า ถ้าเงินไม่พอ จะไม่กล้าเข้าร้าน ดังนั้น
จึงเล็งเห็นช่องว่าง ว่าถ้านำเครื่องสำอางระดับคุณภาพ มาขายในรูปแบบที่ง่าย
ตั้งราคาให้เหมาะสม ลูกค้าน่าจะชอบและให้ความสนใจ
แนวคิดของนายแพทย์สุวินตอนนั้นคือ
เขาต้องการพลิกโฉมรูปแบบการขาย และราคาเครื่องสำอาง โดยจะนำเครื่องสำอางคุณภาพดี
มาขายในราคาไม่แพง ลูกค้าเข้าถึงได้ง่าย มีสินค้าให้ทดลองใช้
แต่เพื่อสร้างความโดดเด่น เจ้าตัว ระบุเงื่อนไขว่า ต้องเป็นเครื่องสำอางแฟชั่น
มีหลากหลายชนิด เสมือนเอาเคาน์เตอร์เครื่องสำอางหลายๆ เคาน์เตอร์มารวมกัน
โดยมีพนักงานให้คำแนะนำการแต่งหน้าทุกขั้นตอน
“อยากเปิดศูนย์รวมผลิตภัณฑ์สร้างสรรค์ความงาม ที่หลากหลายตราสินค้าและราคา
มีทั้งนำเข้าจากต่างประเทศและที่ผลิตภายในประเทศ อาทิ ลิปสติก อายแชโดว์ มาสคาร่า
ที่ปัดแก้ม แป้งพัฟ ครีมรองพื้น ชุดแต่งหน้า ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้า
ผลิตภัณฑ์ดูแลเรือนร่าง ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม น้ำหอม ผลิตภัณฑ์ดูแลเล็บ มือ เท้า
อุปกรณ์แต่งหน้า”
จึงตัดสินใจเปิดร้านเครื่องสำอาง
การเปิดร้านครั้งแรกเกิดจากการซื้อเครื่องสำอางจากที่อื่นมาขาย
ยังไม่ได้ทำแบรนด์เป็นของตัวเอง มีชื่อร้านว่า
“นีโอ” ที่ศูนย์การค้าย่านสยามสแควร์ ต่อมาก็ได้ทำการขยายธุรกิจเปิดร้านจำหน่ายค้าปลีกเครื่องสำอางนำเข้าโดยใช้ชื่อว่า โมนา
ที่ศูนย์การค้ามาบุญครอง เมื่อนายแพทย์สุวินเข้ามาลดช่องว่างด้านราคา
และบรรยากาศที่ให้ความรู้สึกเป็นกันเองกับลูกค้า
อีกทั้งเป็นผู้นำเครื่องสำอางแฟชั่น วิธีคัดเลือกสินค้า เพื่อให้ได้สินค้าดี
มีคุณภาพ จะเฟ้นหาด้วยตนเอง ประกอบกับเคยเป็นแพทย์ ฉะนั้น
จะทดสอบคุณสมบัติเครื่องสำอางจนมั่นใจว่าปลอดภัย ปราศจากสารเคมี
ส่วนความหลากหลายมอบหน้าที่ให้ภรรยา ในปี 2549 จึงได้เป็น บิวตี้ บุฟเฟต์ (Beauty
Buffet) ร้านเครื่องสำอางที่เป็น Retail shop
บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด
(มหาชน) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
วันที่ 12 ธันวาคม 2555 จนถึงปันจุบันซึ่งเป็นเวลา 7 ปีแล้ว บิวตี้ เป็นบริษัทที่เป็น Retail ของธุรกิจเครื่องสำอาง ที่ขายผลิตภัณฑ์ดูแลผิวทั่วทั้งตัว ธุรกิจของบิวตี้
หลัก ๆคือเป็น Retail จะแบ่งเป็น Retail shop มี 3 แบรนด์หลักคือ บิวตี้
บุฟเฟต์(BEAUTY BUFFET) ที่เป็นที่รู้จักกันดี , บิวตี้ คอทเทจ (BEAUTY COTTAGE) และบิวตี้ มาร์เก็ต
(BEAUTY MARKET) รวมๆกันแล้วมีทั้งหมดประมาณ 345
สาขาทั่วประเทศ โดยในแต่ล่ะกลุ่มก็จะมีความแตกต่างกันในด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์
ช่องทางการจำหน่าย และตำแหน่งทางการตลาด
เพื่อการตอบสนองความต้องการต่อกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่แตกต่างกัน บริษัทมีการขยายสาขาและจุดจำหน่ายอย่างต่อเนื่องทั่วประเทศทั้ง
Beauty Buffet, Beauty Cottage และ Beauty Market โดยมีเป้าหมายคือ มุ่งสู่ความเป็นผู้นำด้านธุรกิจความงาม
การขยายตัว ด้าน Overseas
ได้ขยายไปกว่า 15 ประเทศ ทั้งขายแบบออฟไลน์ และออนไลน์
โดยเน้นกลุ่มประเทศจีนเป็นหลัก ลาว กัมพูชา อินโดนีเซีย บรูไน ญี่ปุ่น สิงค์โปร์
เป็นต้น และเป้าหมายต่อไป คือ แคนาดา ส่วนในสหรัฐอเมริกามีตลาดอยู่แล้ว
ภายหลังมีการขยายตัวผ่านช่องทาง E – commerce เพื่อความมั่นคงมากขึ้นด้วย
กลยุทธ์ในการทำธุรกิจ
(Business Strategy)
การทำธุรกิจจึงเน้น
3 แนวทางหลักคือ
o
Multi Brands สร้างแบรนด์ขึ้นมาเพื่อเน้นในลูกค้าแต่ละกลุ่มที่แตกต่างกัน
ทำให้ลูกค้าสามารถเลือกสิ่งที่ตรงใจได้ง่ายขึ้น
o
Multi Products ต้องมีสินค้าที่หลากหลายตามความต้องการ ตามประเภทการใช้
ตามลักษณะของผู้ใช้
o
Multi Channels มีช่องทางจำหน่ายที่หลากหลาย ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจ
สามารถเข้าถึงได้ง่าย
จากทั้ง 3 แนวทาง ทำให้บิวตี้ คอมมูนิตี้ เข้าถึงกลุ่มลูกค้าระดับ Mid End ซึ่งเป็นตลาดกลุ่มใหญ่และมีกำลังซื้ออย่างต่อเนื่องได้ดี
แต่ก็สามารถขยับฐานลูกค้าไประดับ Mid-Hi เพื่อเป็นทางเลือก
ถ้าสนใจผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพเดียวกัน แหล่งผลิตเดียวกัน แต่ราคาถูกกว่า
เปิดแผนการทำตลาด
กระจายสาขาเข้าถึงลูกค้า เร่งเครื่อง e-Commerce
การทำตลาดของบิวตี้ คอมมูนิตี้ ยังเน้นที่การขยายสาขาเป็นหลัก
โดยมีรายได้รวมครึ่งปีแรก 1,183 ล้านบาท ซึ่ง 84% มาจากช่องทางร้านค้า และ 16% คือช่องทาง e-Commerce และต่างประเทศ ต้องยอมรับว่า แม้ e-Commerce ในไทยจะมีการเติบโตสูง สร้างสีสันให้ตลาด
แต่ยอดขายในช่องทางนี้ยังน้อยมาก ครึ่งปีแรกมีรายได้ 24.8 ล้านบาท (ปีที่ผ่านมา 34.9 ล้านบาท)
อาจต้องใช้เวลาอีกหลายปี แต่บิวตี้ คอมมูนิตี้ได้เตรียมพร้อมรับมือแล้ว
และมีจำหน่ายผ่านช่องทางเว็บไซต์ e-Commerce ต่างๆ ไว้แล้ว
“เครื่องสำอาง
เป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องมาลอง มาใช้ก่อนตัดสินใจซื้อ อาจจะหาข้อมูล ดูรีวิวทางออนไลน์
แล้วก็มาลองที่ร้าน ถ้าใช้แล้วชอบ ก็อาจจะสั่งซื้อครั้งต่อไปทางออนไลน์
แต่สุดท้ายถ้ามีสินค้าใหม่ ก็ต้องมาลองของจริงก่อน ดังนั้น บิวตี้ คอมมูนิตี้
จะใช้ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ควบคู่กันไป”
BEAUTY BUFFET จับจุดได้ถูกต้องว่า ธุรกิจเครื่องสำอาง
ต้องเน้นพัฒนาคนควบคู่กับการขยายสาขา เพราะคำแนะนำจากพนักงาน
และสามารถสาธิตหรือทดลองให้ลูกค้าเห็น สามารถเปลี่ยนการตัดสินใจซื้อได้ทันที
และยังสร้างลูกค้าประจำให้กลับมาซื้อซ้ำได้ด้วย ขณะที่ e-Commerce เป็นส่วนสำคัญในอนาคต โดยยังสร้างยอดขายได้น้อย
เพราะสีผิว ประเภทผิว และรูปหน้าของแต่ละคนแตกต่างกัน สุดท้ายแล้ว ผู้หญิงทุกคน
ก็อยากไปสัมผัสของจริงก่อนตัดสินใจซื้อ และใช้ออนไลน์เป็นเครื่องมือในการหาข้อมูล
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น