CEO TALK #16 Digital Marketing 2019
การเข้าอบรม CEO TALK
5. CEO TALK #16
หัวข้อ Digital
Marketing 2019
โดย คุณ พงศธร จิรนันท์ธวัช
ขายของออนไลน์ยอดขายถล่มถลาย ภายใน 1 ปี
คุณพงศธร จรินันท์ธวัช ทำธุรกิจขายของออนไลน์
ก่อนหน้าที่จะมาขายของออนไลน์ เขาได้เป็นหนี้ ชีวิตล้มเหลว
มีเงินเก็บอยู่ก้อนหนึ่ง ก็เอาไปลงกับหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ แต่หุ้นล่วงทำให้ติดลบ
2.7 ล้านบาทตอนนั้นเขาเหลือเงินติดตัวอยู่ 3000 บาท
เขาได้ตัดสินในนำเงินที่เหลือไปซื้อของมาขายใน Lazada ในระยะเวลาเพียง
6 เดือน เขาสามารถขายของได้ 2 ล้านบาท จากที่มีเงินอยู่ 3 พัน
หลังจากนั้นเขาได้หันเข้าสู่
Facebook Marketing อย่างจริงจัง
เขาได้เรียนรู้และศึกษามันอย่างตั้งใจ
และเขาได้เจอกับพี่คนหนึ่งที่ช่วยสอนและแนะนำเขาในการใช้ Facebook
marketing หลังจากนั้นยอดขายของเขาก็ได้เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ
จนยอดขายวันนี้หลักแสนบาทต่อวัน โดยใช้ Facebook Ads ในการขายของออนไลน์
Facebook Ads คือการโฆษณาที่ขึ้นในหน้า Feed ของ Facebook
การจะขายสินค้าในโลกออนไลน์เราต้องศึกษาการตลาดของโลกออนไลน์
ต้องศึกษาคู่แข่ง แล้วดูว่าเขาทำการตลาดกันอย่างไร โดยการที่เราไปไลค์ เม้น
แชร์เพจเขา แล้วสิ่งเรานั้นมันจะวิ่งขึ้นบน Feed ของเรา
Product ที่นำมาขายมีแค่ 2 แบบ คือ
1.
สินค้าที่เราบอกว่ามันดี บอกว่ามันดียังไงและเราอยากจะขายให้เขา
2.
สินค้าที่มีคนต้องการในโลกของ
Facebook แต่ยังไม่มีคนนำมาขาย
90% ของคนส่วนมากเลือกขายสินค้าแบบข้อแรก
แต่ถ้าเราอยากจะสำเร็จโลกของ Facebook พื้นฐานเราต้องแน่นก่อน
เราจะต้องหาสิ่งที่เรียกว่า Demand
ให้เจอก่อน คือสิ่งที่คนต้องการ
และยังไม่มีคนเอามาขายหรือคนขายน้อย
สิ่งสำคัญในโลกของ Facebook คือ สินค้า / Content / Ads. บางทีการที่เราไปปรับโฆษณาเยอะแยะมากมาย
แต่สินค้าคุณไม่ดีปรับยังไงก็ขายไม่ได้ แต่ถ้าคุณเริ่มจากสินค้าที่ดี
สินค้าที่มีความต้องการสูง คุณยิ่ง Ads ยังไงก็ขายได้
หลักการหาสินค้ามาขาย คือ
การหาสินค้า Best seller ต่าง
ๆ เช่น ใน Lazada Shop หรือตามเว็ปต่าง ๆ
หลักการอีกแบบที่คนทำน้อย คือ หาสินค้าที่เพจที่ชอบโพสต์ สินค้าเยอะแต่
ไม่แข็งแรงเรื่องตลาด การขายสินค้าบน Facebook
อย่าเริ่มจากการที่เราอยากขาย แต่ให้ดูจากลูกค้าว่าต้องการอะไร
The
Lean Process
-
เรียนรู้ได้เร็วที่สุด
-
ออกแรงน้อยที่สุด
-
ทดสอบสมมติฐานได้เร็วที่สุด
การวิเคราะห์สินค้า
หรือทดสอบสมมติฐาน
สิ่งที่คุณต้องทำ
คือ การ Test สมมติฐานของคุณให้เร็วที่สุด
ถ้ามันเวิร์คคุณค่อยมาทำทุกอย่างให้มันดี
“Key Succeed”
การทำ Purple Cow คือ การนำเสนอแบบสุดโต่ง
เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ กระตุ้นจนสมองชั้นในทำงาน เห็นแล้วสนใจทันที
การศึกษา Content อย่างละเอียด
จากการกระตุ้นสมองชั้นใน ประกอบด้วย
1)
พูดเรื่องของลูกค้า เช่น ขายนาฬิกา ขึ้นว่า นาฬิกา “โหด ดิบ เถื่อน”
ทำให้ลูกค้าสนใจทันที
2)
การทำให้ลูกค้าเห็นความแตกต่างในตอนที่เห็นสินค้าทันที (Contrast)
3)
ทำให้รู้สึกสัมผัสได้ (Tangible)
4) การทำให้จดจำ และติดตามตอนต่อไป
การทำให้สินค้าน่าติดตาม เป็นการเรียกร้องความสนใจตอนต้น
และจบให้คนรู้สึกอยากติดตามต่อ
5) การทำให้เห็นได้ เกี่ยวกับการมองเห็นได้ (Visual)
กลุ่มเป้าหมาย Facebook
Audiences
เสน่ห์อย่างหนึ่งของการลงโฆษณาบน
Facebook คือการเลือกกลุ่มเป้าหมายได้ตามที่ตัวเองต้องการแทนที่จะเป็นการลงโฆษณาแบบหว่านๆ
อย่างที่เคยทำกันมาใน Traditional Media เวลาเราลงโฆษณาอะไรนั้น
เรื่องแรกๆ ที่เราจะต้องตอบตัวเองให้ได้คือเราต้องการจะให้โฆษณานั้นเข้าถึงใคร
ใครกันที่เราอยากให้โฆษณานี้ สิ่งสำคัญคือการตอบกับตัวเองให้ได้ว่าลูกค้าของเราคือใคร
ยิ่งในภาวะที่ธุรกิจมีข้อจำกัดเรื่องงบประมาณที่ไม่สามารถให้เข้าถึง “ทุกคน” ได้
แล้วใครจะเป็นกลุ่มคนแรกๆ ที่คุณอยากจะใช้งบประมาณให้คุ้มค่าที่สุดกัน
นั่นเป็นเหตุให้การทำ Segmentation ของกลุ่มเป้าหมายเป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ แต่ในขณะเดียวกันมันก็เอากลับมาใช้ประโยชน์ได้อย่างมากบน
Platform Digital อย่าง Facebook และ Google
ได้ด้วยเช่นกัน
Facebook เองก็พยายามจะช่วยเหลือธุรกิจต่างๆ
ในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ตัวเองต้องการ
ทำให้ระบบการลงโฆษณาของเขาสามารถพลิกแพลงการเลือกกลุ่มเป้าหมายได้ละเอียดและมีลูกเล่นค่อนข้างมาก
โดยปัจจุบันนั้น Facebook แบ่งประเภทของกลุ่มเป้าหมาย (Audience)
ออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1.
Core Audience
กลุ่มนี้พูดง่ายๆ คือการที่ผู้ลงโฆษณาระบุ “สเปค”
ของกลุ่มเป้าหมายเข้าไปให้ Facebook ไปหามาว่าคนเหล่านี้มีอยู่เท่าไรบน Facebook
โดย “สเปค” ที่ว่านั้นสามารถระบุได้หลากหลาย จะเอาแบบกว้างสุดๆ
อย่างเช่นการใช้เพศ ใช้อายุ หรือที่อยู่ ตลอดไปจนถึงการใช้ความสนใจย่อยๆ
พฤติกรรมการใช้งาน ฯลฯ
ซึ่งนั่นก็สุดแล้วแต่นักลงโฆษณาว่าจะระบุให้ละเอียดกันขนาดไหน
โดยตัวเลือกมาตรฐานที่คนมักจะใช้กันคือ
o ที่อยู่อาศัย
o อายุ
o เพศ
o ภาษาที่ใช้
o ข้อมูลเชิงลึก ไม่ว่าจะเป็นความสนใจ
พฤติกรรม โดย Facebook
จะอิงจากข้อมูลพฤติกรรมที่พวกเขามีหลังบ้าน
2.
Custom Audience
ในอีกทางหนึ่งนั้น
Facebook
ก็จะมีการเลือกลุ่มเป้าหมายที่เป็นกลุ่มเฉพาะโดยอ้างอิงจาก
“ชุดข้อมูลกลุ่มเป้าหมาย” ที่มีไว้อยู่แล้ว
ซึ่งในสมัยก่อนนั้นก็จะเป็นการทำฐานข้อมูลของลูกค้าจากผู้ลงโฆษณาเองนั้นไปผสานกับข้อมูลของ
Facebook เพื่อระบุตัวคนเหล่านั้นบน Facebook เช่นการนำชุดเบอร์โทรศัพท์ หรือ Email ของลูกค้าที่มีอยู่แล้ว
ข้อดีของ
Custom
Audience คือการที่กลุ่มเป้าหมายบางครั้งอาจจะระบุออกมาเป็น “สเปค”
ได้ไม่ง่ายนัก การที่ธุรกิจมีฐานลูกค้าเดิม (หรือฐานข้อมูลคนที่ต้องการจะเข้าถึง)
ก็นำมาใช้ประโยชน์ในเรื่องนี้ได้ดี
นอกจากนี้แล้ว
Facebook
ก็เริ่มเพิ่มความสามารถของ Custom Audience ให้มากขึ้นโดยตอนนี้สามารถทำการสร้าง
Custom Audience ได้จากหลายแบบเช่น
o ฐานลูกค้าที่มีการใช้แอพพลิเคชั่น
o ฐานลูกค้าที่เข้าเว็บไซต์
(ที่มีการเก็บข้อมูลไว้)
o ฐานลูกค้าที่มีปฏิสัมพันธ์กับโฆษณาก่อนหน้า
o ฐานลูกค้าที่มีปฏิสัมพันธ์กับตัว Facebook Page
3.
Lookalike Audience
กลุ่มนี้จะต่อเนื่องจากการมี Custom Audience กล่าวคือการที่ Facebook
จะพยายามหากลุ่มคนที่ “สเปคคล้าย”
กับกลุ่มที่เคยมีอยู่แล้ว ซึ่งกลุ่มที่เคยมีอยู่แล้วนั้นอาจจะใช้ Custom
Audience เดิมที่มี
หรือเป็นการสร้างใหม่โดยใช้ข้อมูลที่มีอยู่บน Facebook เช่นการลงโฆษณาให้คนที่เข้าข่ายว่า
“คล้าย” กับฐานแฟนที่มีอยู่เดิม เป็นต้น
หลักการของ Lookalike
Audience นั้นพูดง่ายๆ
คือการหาคนที่ Facebook เชื่อว่า “คล้าย”
กับกลุ่มเป้าหมายที่เรามีข้อมูลอยู่ในมือเป็นทุนเดิม
นั่นทำให้เราเข้าถึงคนที่มีโอกาสจะมีความคิดหรือความต้องการคล้ายๆ
กับคนก่อนหน้านี้แล้วนั่นเอง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น